CMNS Mac Repair

iPhone ขึ้น “Unable to Activate”: สาเหตุ, วิธีแก้ & เมื่อไหร่ต้องซ่อม?

เผยแพร่เมื่อ 08 July 2025

รับชม 5 ครั้ง

iPhone ขึ้น “Unable to Activate”: สาเหตุ, วิธีแก้ & เมื่อไหร่ต้องซ่อม?
iPhone ขึ้น “Unable to Activate” – ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์? ไขข้อข้องใจพร้อมวิธีแก้
คุณเพิ่งเปิดเครื่อง iPhone ใหม่, รีเซ็ตเครื่อง, หรืออัปเดต iOS แล้วเจอข้อความน่ากังวลว่า "Unable to Activate" บนหน้าจอใช่ไหม? ปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับ iPhone มือหนึ่งและมือสอง และมักจะทำให้ผู้ใช้งานสับสนว่าเกิดจากฮาร์ดแวร์เสียหรือปัญหาซอฟต์แวร์ บทความนี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุที่ทำให้ iPhone ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ พร้อมแนะนำขั้นตอนการแก้ไขปัญหาอย่างละเอียด เพื่อให้คุณกลับมาใช้งาน iPhone ได้อีกครั้ง!

ทำความเข้าใจ “Unable to Activate” คืออะไร?
เมื่อ iPhone แสดงข้อความ "Unable to Activate" นั่นหมายความว่าเครื่องไม่สามารถเชื่อมต่อและยืนยันกับเซิร์ฟเวอร์การเปิดใช้งานของ Apple ได้สำเร็จ เพื่อให้ iPhone สามารถใช้งานได้ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ Activation ซึ่งเป็นการตรวจสอบว่าเครื่องเป็นของแท้ ไม่ได้ถูกขโมยมา และเชื่อมโยงกับ Apple ID ที่ถูกต้อง

สาเหตุหลักของปัญหา “Unable to Activate”
ปัญหานี้สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากฝั่งซอฟต์แวร์, การเชื่อมต่อ, หรือแม้แต่ฮาร์ดแวร์ที่เสียหาย
1. ปัญหาด้านการเชื่อมต่อและเซิร์ฟเวอร์ (Connectivity & Server Issues)
2. ปัญหาด้านซอฟต์แวร์ (Software Issues)
3. ปัญหาด้านการล็อก (Locking Issues)
4. ปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ (Hardware Issues)

วิธีแก้ไขปัญหา “Unable to Activate”
ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้จากง่ายไปหายาก เพื่อแก้ไขปัญหา:
ขั้นตอนที่ 1: ตรวจสอบการเชื่อมต่อและสถานะเซิร์ฟเวอร์
  1. ตรวจสอบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต:
    • ตรวจสอบว่า Wi-Fi ของคุณทำงานปกติหรือไม่ ลองเชื่อมต่อกับ Wi-Fi อื่นๆ หากเป็นไปได้
    • ถ้าใช้ข้อมูลเซลลูลาร์ ให้ตรวจสอบว่ามีสัญญาณและแพ็คเกจอินเทอร์เน็ต
  2. ตรวจสอบสถานะเซิร์ฟเวอร์ Apple:
    • ไปที่ หน้าสถานะระบบของ Apple (Apple System Status)
    • ตรวจสอบว่า "iOS Device Activation" ขึ้นสถานะ "Available" (สีเขียว) หรือไม่ หากไม่ใช่ ให้รอจนกว่าสถานะจะกลับมาปกติแล้วลองอีกครั้ง
ขั้นตอนที่ 2: ตรวจสอบซิมการ์ด
  1. ถอดและใส่ซิมการ์ดใหม่: ลองถอดซิมการ์ดออกแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ให้แน่น
  2. ลองใช้ซิมการ์ดอื่น: หากมีซิมการ์ดของเครือข่ายอื่น ลองเปลี่ยนซิมเพื่อตรวจสอบว่าปัญหาเกิดจากซิมการ์ดหรือไม่
  3. ตรวจสอบว่าซิมการ์ดเสียหายหรือไม่: ลองนำซิมการ์ดไปใส่ในโทรศัพท์เครื่องอื่นเพื่อดูว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่
ขั้นตอนที่ 3: แก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์
  1. บังคับรีสตาร์ท iPhone:
    • iPhone 8 หรือใหม่กว่า: กดปุ่มเพิ่มเสียงแล้วปล่อยอย่างรวดเร็ว กดปุ่มลดเสียงแล้วปล่อยอย่างรวดเร็ว จากนั้นกดปุ่มด้านข้างค้างไว้จนกว่าจะเห็นโลโก้ Apple
    • iPhone 7 / 7 Plus: กดปุ่มลดเสียงและปุ่มด้านข้างค้างไว้พร้อมกันจนกว่าจะเห็นโลโก้ Apple
    • iPhone 6s หรือเก่ากว่า: กดปุ่ม Home และปุ่มด้านข้างค้างไว้พร้อมกันจนกว่าจะเห็นโลโก้ Apple
  2. อัปเดต iPhone ผ่าน iTunes/Finder (โหมดกู้คืน - Recovery Mode):
    • นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์ที่รุนแรง
    • เชื่อมต่อ iPhone เข้ากับคอมพิวเตอร์ (ที่ติดตั้ง iTunes ล่าสุดสำหรับ Windows หรือ Finder สำหรับ Mac)
    • บังคับเข้าสู่โหมดกู้คืน (Recovery Mode) (วิธีเดียวกับการบังคับรีสตาร์ท แต่กดค้างไว้จนเห็นหน้าจอ Recovery Mode)
    • ใน iTunes/Finder เลือก "อัปเดต" (Update) ไม่ใช่ "กู้คืน" (Restore) เพื่อให้ระบบพยายามติดตั้ง iOS ใหม่โดยไม่ลบข้อมูลเดิม (หากเลือก Restore จะลบข้อมูลทั้งหมด)
    • หลังจากการอัปเดตเสร็จสิ้น ลองเปิดใช้งาน iPhone อีกครั้ง
ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบปัญหาการล็อก (Activation Lock/Carrier Lock)
  1. ถ้าซื้อมือสอง: ติดต่อผู้ขายเดิมและขอให้เขาปลด Activation Lock (iCloud Lock) ออกจาก Apple ID ของเขา โดยไปที่ icloud.com/find ลงชื่อเข้าใช้ด้วย Apple ID ของเขา เลือกอุปกรณ์ที่ต้องการปลดล็อก แล้วเลือก "Remove from Account"
  2. ถ้าติด Carrier Lock: ติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายเดิมของ iPhone เพื่อสอบถามเงื่อนไขการปลดล็อกเครือข่าย (Unlock).

เมื่อไหร่ที่ “ฮาร์ดแวร์” อาจเสีย และควรนำเข้าศูนย์?
หากคุณลองทำตามขั้นตอนการแก้ไขปัญหาทั้งหมดข้างต้นแล้ว แต่ iPhone ยังคงขึ้นข้อความ "Unable to Activate" อยู่ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่ามีปัญหาฮาร์ดแวร์ที่ซับซ้อน เช่น:
ในสถานการณ์เหล่านี้ คุณควร:

สรุป
ปัญหา iPhone ขึ้น "Unable to Activate" มักเกิดจากสาเหตุทางซอฟต์แวร์หรือการเชื่อมต่อที่คุณสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองตามขั้นตอนข้างต้น อย่างไรก็ตาม หากหลังจากลองทุกวิธีแล้วยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้ แสดงว่าปัญหาอาจเกิดจากฮาร์ดแวร์ที่เสียหาย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบและซ่อมแซมโดยผู้เชี่ยวชาญ การทำความเข้าใจสาเหตุและลำดับการแก้ไขจะช่วยให้คุณประหยัดเวลาและความกังวลใจได้มาก